https://crimethinc.com/feed/th
CrimethInc. : TH
CrimethInc. ex-Workers’ Collective: Your ticket to a world free of charge
https://fa.crimethinc.com/assets/icons/icon-600x600-29557d753a75cfd06b42bb2f162a925bb02e0cc3d92c61bed42718abba58775f.png
https://fa.crimethinc.com/assets/icons/favicon-efac4460fc49353986831b21650af3dce27f87fa1fa8636d3ea0e858382ae449.ico
CrimethInc. Ex-Workers Collective
help@crimethinc.com
https://crimethinc.com/2020/06/03/cchaakchiliithuengminniiaaoplis-cchdhmaayepidphnuek
2020-06-03T21:48:23Z
2022-03-14T02:04:24Z
จากชิลีถึงมินนีอาโปลิส: จดหมายเปิดผนึก
A letter from participants in the first lines of the 2019 rebellion in Chile, expressing solidarity with the uprising in Minneapolis.
<figure><img class="u-photo" alt="" src="https://cdn.crimethinc.com/assets/articles/2020/06/03/header.jpg" /></figure>
<p>จดหมายฉบับนี้มาจากกลุ่มนักอนาธิปไตยที่เข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหว <em>la primera línea</em><sup id="fnref:1" role="doc-noteref"><a href="#fn:1" class="footnote" rel="footnote">1</a></sup> หรือ “แนวที่หนึ่ง” ที่ปะทุขึ้นมาในชิลีเมื่อปลายปี 2019 และด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้ประท้วงที่ตอบโต้กับการฆาตกรรม จอร์จ ฟลอยด์ เบรโอนา เทเลอร์ และคนผิวดำอีกนับไม่ถ้วน พวกเขาจึงอยากจะแบ่งปันประสบการณ์การลุกขึ้นมาต่อสู้ และชวนถกเถียงถึงความท้าทายที่ต้องเจอในฐานะการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม</p>
<hr />
<h1 id="shrathemrikaatuuenaelw-estados-unidos-desperto">“สหรัฐอเมริกาตื่นแล้ว” (Estados unidos despertó)</h1>
<p>ละตินอเมริกามองสหรัฐฯ ในฐานะอำนาจจักรวรรดิ ผู้นำเผด็จการของเราถูกสถาปนาขึ้นมาโดยการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ บรรษัทจากสหรัฐฯ ผูกขาดเศรษฐกิจของเรา สมคบกันขึ้นราคาสินค้าและกดค่าแรง ขณะเดียวกัน วอลล์สตรีทก็ให้เงินแก่พวกโรงงานอุตสาหกรรมที่กำลังปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งน้ำ ผืนดิน และร่างกายของพวกเรา ชาวชิลีส่วนใหญ่รู้จักอเมริกาจากภาพยนตร์และโทรทัศน์ ตึกระฟ้ามากมายและความมั่งคั่ง ในวันที่ 18 ตุลาคม ชีลีได้ <em>ตื่นขึ้น</em> [despertó] สถานีรถไฟใต้ดินซานติอาโกถูกปิดตาย<sup id="fnref:2" role="doc-noteref"><a href="#fn:2" class="footnote" rel="footnote">2</a></sup> ร้านวอลมาร์ทจำนวน 1 ใน 6 ทั่วชิลีถูกยกเค้า และการประท้วงก็ปะทุขึ้นเพื่อต่อต้านชนชั้นทางการเมืองหนึ่ง แค่พวกที่อยู่ตรงกลางระหว่างประชาชนกับคนที่ร่ำรวยที่สุด ที่คอยบริหารจัดการประเทศให้สามารถดำรงอยู่ในเศรษฐกิจโลกได้</p>
<p>นับตั้งแต่การจลาจลเพื่อตอบโต้กับตำรวจหลังจากความตายของ จอร์จ ฟลอยด์ สำนักข่าวชิลีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแสดงให้เห็นถึงความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติ และความโกรธเกรี้ยวของประชาชนที่เกิดขึ้นในอเมริกา เพจมีมของชิลีที่สร้างขึ้นมาในช่วงการจลาจลเมื่อเดือนตุลาคม ได้หันเหความสนใจไปยังความมุ่งมั่นและพลังที่แผ่ไปทั่วท้องถนนของอเมริกา มุมมองจากคนซีกโลกใต้ ก็ดั่งคำพูดของคนขายผลไม้ที่อยู่ข้างบ้านของผม <em>เอสตาดอส ยูนิดอส เดสเปอร์โต (estados unidos despertó)</em> สหรัฐอเมริกาตื่นแล้ว</p>
<p>เราเป็นกลุ่มมิตรสหายที่เขียนจดหมายฉบับนี้แด่พวกคุณที่อยู่ในอเมริกา เพื่อเล่าประสบการณ์ว่าการจลาจลจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรถ้ามันดำเนินต่อเนื่องนานหลายเดือน เมื่อรัฐบาลประกาศสภาวะฉุกเฉินและใช้กองกำลังทหาร บีบบังคับให้พลเมืองกลับไปสู่ความเป็นปกติ พวกเขาพยายามที่จะแบ่งแยกโลกสองรูปแบบอย่างชัดเจน ระหว่างการประท้วงอย่างสงบกับอาชญากรรม ระหว่างความปกติกับวิกฤต ระหว่างสิทธิมนุษยชนกับความมั่นคงของรัฐ ระหว่างตำรวจที่ดีกับพวกปลุกปั่น เราอยากจะสะท้อนให้เห็นสิ่งที่เผชิญมาในชิลีเมื่อช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่าการแบ่งแยกเหล่านี้เป็นเรื่องงี่เง่า และเราควรที่จะต่อสู้โดยที่ไม่ต้องไปสนใจมัน</p>
<figure class="">
<img src="https://cdn.crimethinc.com/assets/articles/2020/06/03/1.jpg" /> <figcaption>
<p><em>กำแพงที่เอาไว้ระลึกถึงผู้ชุมนุมที่ถูกฆ่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐในการประท้วงปี 2019</em></p>
</figcaption>
</figure>
<p>คืนแรกของการจลาจลนั้นตามมาด้วยการประท้วงอย่างสงบเป็นเวลานานนับสัปดาห์ บนถนนสายเดิมที่เคยเต็มไปด้วยเครื่องกั้นติดไฟ ถนนสายเดียวกับที่ร้านรวงต่างๆ ถูกยกเค้า และกลุ่มวัยรุ่นใส่หน้ากากปาระเบิดโมโลทอฟใส่ฝูงตำรวจ เพื่อตอบโต้กับความไม่สงบ รัฐบาลจึงประกาศสภาวะฉุกเฉินระดับรัฐ และส่งกองกำลังทหารมาตรวจตราตามท้องถนน พวกเขาประกาศเคอร์ฟิวในเวลากลางคืนทันที งดเว้นสิทธิในการรวมตัวกันของประชาชนเป็นเวลา 90 วัน</p>
<p>นับตั้งแต่ยุคเผด็จการ นี่เป็นครั้งแรกที่ทหารถูกเรียกลงมาบนท้องถนน เพื่อตอบโต้การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชิลี ชิลีถูกพิจารว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ช่างย้อนแย้งที่การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดของมันกลับเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การประท้วงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ขณะที่องค์กรจัดตั้งได้ทำใบปลิวขึ้นมาเพื่อประกาศเริ่มเดินขบวน แต่การประท้วงก็ปะทุขึ้นอย่างไม่ขึ้นตรงต่อใคร ประชาชนออกจากบ้านมาเข้าร่วมชุมนุมเพียงเพราะเขาได้ยินเสียงฝูงชนบนท้องถนน การชุมนุมอย่างสงบถูกจัดตั้งขึ้นทั่วทั้งเมือง ผู้ชุมนุมนำเอาป้ายประท้วงมาถือ ตีหม้อและกะทะ ร้องเพลงร่วมกันบนถนน แต่ว่าพวกเขาเหล่านี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกสลายการชุมนุมโดยปืนฉีดน้ำแรงดันสูงและแก๊สน้ำตาของตำรวจ สื่อสังคมออนไลน์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้เห็นความโหดร้ายของตำรวจและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตำรวจทุบตีประชนบนท้องถนน และมีเรื่องราวที่พวกเจ้าหน้าที่ทรมานและล่วงละเมิดทางเพศผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุม กลุ่มสิทธิมนุษยชนทำการรวบรวมเหตุการณ์การละเมิดเหล่านั้น และองค์กรสหประชาชาติก็ส่งคณะกรรมการเพื่อมาสอบสวนการทำงานของตำรวจ</p>
<p>ในท้ายที่สุด การสอบสวนทางสิทธิมนุษยชนก็จะลากยาวไปอีกหลายปี การโต้ตอบเพียงอย่างเดียวที่มีความหมายต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็คือ เราต้องรักษาความขัดแย้งกับตำรวจเอาไว้ การชุมนุมที่สามารถอยู่จนพ้น 30 นาทีไปได้ก็คือการนำเอาเครื่องกั้นมาขวางไม่ให้ตำรวจเข้ามาสลายฝูงชน ให้การรับรองว่าทุกคนมีสิทธิ์ในการชุมนุมและพูดอย่างเสรี สถานีบาคีดาโนเป็นสถานที่ที่ตำรวจเข้าควบคุมฝูงชนและทำร้ายผู้ชุมนุม แต่หลังจากที่ผู้ชุมนุมเอาเครื่องกั้นมาวาง และปิดทางเข้าด้วยหินและยางรถยนต์ มันก็กลายเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถปฏิบัติการอะไรได้อีก พื้นที่แห่งการทารุณกลายเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำและการต่อต้าน การประท้วงในช่วงเวลาปกติ ผู้คนมักหวาดกลัวกลุ่ม <em>เอนคาปูชาโดส</em> (พวกสวมหน้ากาก) พวกเขาจะตะโกนใส่คนกลุ่มนี้ และพร่ำบ่นว่าจะทำให้ตำรวจเข้ามาใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม แต่เราไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาปกติอีกต่อไปแล้ว ภัยคุกคามที่มาจากการกลับไปสู่เผด็จการนั้นหมายความว่าเรามีเสรีภาพเป็นเดิมพัน และพลังเดียวที่จะปกป้องสิทธิของทุกคนเอาไว้ได้ก็คือพลังของประชาชนบนท้องถนน พลังของพวกเขาเอง</p>
<p>ภาคส่วนนี้ของการประท้วงจึงถูกรับรู้ในชื่อ <em>ลา พรีเมรา ลีนีอา</em> (la primera línea) หรือ “แนวที่หนึ่ง” ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่จะปาหินใส่ตำรวจ และเหล่าวัยรุ่นที่คอยถือโล่ป้องกัน ตามมาด้วยแนวที่สอง ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่ยิงเลเซอร์ แนวที่สามคือผู้ประท้วงถือขวดสเปรย์ และเหยือกน้ำเพื่อหยุดการทำงานของแก๊สน้ำตา และแนวที่สี่คือหน่วยพยาบาลที่คอยพยุงผู้บาดเจ็บไปปฐมพยาบาล</p>
<p>พวกแนวที่หนึ่งเปิดโอกาสให้วัฒนธรรมการประท้วงหลายๆ รูปแบบสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ในเวลาต่อมา การเต้นแบบพิคาชู การแสดงบนท้องถนน การตะโกนร้องเพลงรูปแบบใหม่ และวงดนตรีเดินขบวน พวกเขารวมตัวกันทุกวันศุกร์ที่ดิกนิแดดพลาซ่า บางคนที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับตำรวจก็มาเข้าร่วมได้ ลองปาหินใส่ตำรวจ หรือไม่ก็ฝึกดับแก๊สน้ำตา หลายปีก่อนมันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเหล่า <em>เอนคาปูชาโดส</em> ที่เคยถูกมองว่าอาจเป็นได้ทั้งตำรวจนอกเครื่องแบบหรือพวกวัยรุ่นบ้าบิ่น จะกลายมาเป็นฮีโร่ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไปได้ หลังจากวันที่ 18 ตุลาคม องค์กรจัดตั้งนับไม่ถ้วนก็เริ่มต้นระดมทุนสำหรับการช่วยเหลือทางกฎหมายและการรักษาพยาบาลให้กับพวกแนวที่หนึ่ง ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ มีคนจากกลุ่มนี้ถูกเชิญไปพูดเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของตำรวจในงานประชุมสิทธิมนุษยชนละตินอเมริกา ผู้คนที่มายังพลาซ่าเพื่อขายอาหาร น้ำดื่ม หรือเบียร์ พวกเขามักจะแบ่งปันอาหารและเครื่องดื่มให้กับคนอื่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการไปเข้าร่วมกับแนวที่หนึ่ง</p>
<figure class="">
<img src="https://cdn.crimethinc.com/assets/articles/2020/06/03/2.jpg" /> <figcaption>
<p><em>เราไม่ใช่ศัตรูของพวกคุณ เราคือประชาชน</em></p>
</figcaption>
</figure>
<p>ในตอนเริ่มต้น พวกเรากลัวและกังวลเกี่ยวกับการขโมยของและการวางเพลิง เพราะสถานีรถไฟใต้ดินและสำนักงานถูกไฟไหม้ไปแล้ว ข่าวลือแพร่ออกมาว่ามันคือความพยายามของตำรวจในการสร้างภาพให้ผู้ประท้วงดูเลวร้าย เพื่อที่การออกมาของกองทหารจะเป็นสิ่งชอบธรรม หรือบางทีอาจจะเป็นพวกแก๊งอาชญากรรมที่ฉวยโอกาสนี้ในการปล้นตู้เอทีเอ็ม ร้านขายยา และร้านชำ แม้ว่าจะผ่านไปหลายเดือน เราก็ยังไม่รู้ว่าการกระทำไหนกันแน่ที่เป็นฝีมือของตำรวจ แต่ความพยายามในการกดปราบผู้ชุมนุมด้วยการทำให้พวกเขาหวาดกลัวการเทคโอเวอร์ของทหารหรือแก๊งอาชญากรรมกลับไม่ได้ผลเลย ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักอยู่บนท้องถนนเช่นเคย คำเตือนของทหารเรื่องการทำลายทรัพย์สินก็ไม่มีผลกระทบอะไรเช่นกัน การที่ทหารปราบปรามการประท้วงแบบสงบรังแต่จะทำให้ประชาชนหันมาป้องกันตนเองมากขึ้น เครื่องกั้นถูกนำออกมาวางเพื่อสกัดยานพาหนะของทหาร ใช้หินและอิฐปาเข้าไปเพื่อไม่ให้พวกนั้นเข้ามาใกล้ ร้านรวงถูกปล้นมากขึ้น สิ่งที่ถูกขโมยไม่ใช่สินค้าแต่เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาสร้างที่กั้น เรามาถึงจุดที่ผู้ชุมนุมสามารถพูดได้เต็มปากว่า ทรัพย์สินที่เป็นของสถาบันต่างๆ นั้นแสดงให้เห็นถึงความละเลยในหน้าที่ของตัวมันเอง</p>
<p>ในห้วงเวลาที่น่าหวาดกลัวและไม่แน่นอนเช่นนี้ ทุกฝ่ายหวังว่าความไม่สงบในชิลีจะไปสู่บทสรุปอย่างรวดเร็ว ก็คือประธานาธิปดีลาออกจากตำแหน่ง มีการร่างรัฐธรรมนูญร่วมของประชาชน และเราสามารถสร้าง “ความปกติ” แบบใหม่ ที่เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ แต่ตอนนี้ความปกติแบบใหม่นั้นยังไม่เกิด โรคระบาดโควิด-19 ทำให้การลงประชามติรัฐธรรมนูญยืดเยื้อออกไป และรัฐบาลเดิมที่ไม่มีความชอบธรรมก็ยังคงครองอำนาจในนามของการจัดการวิกฤตทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจ</p>
<p>ยังคงเร็วเกินไปที่จะพูดว่าการจลาจลที่อเมริกาในตอนนี้จะนำไปสู่อะไร แต่เราอยากชี้ให้เห็นว่าการมองหาบทสรุปที่รวดเร็วนั้นอาจจะเป็นการยอมจำนนที่เกิดจากความกลัว ที่คนหลายล้านยังคงเสแสร้งว่ามันไม่เป็นอะไร ว่าชีวิตยังเป็นปกติ วิกฤตยังคงมีอยู่ต่อให้จะเป็นภาวะฉุกเฉินหรือภาวะปกติ แต่แค่เพียงภาวะฉุกเฉินเท่านั้นที่ประชาชนไม่เกรงกลัวที่จะแสดงออกถึงความไม่พอใจ และหาทางออกว่าแท้จริงแล้วพวกเขาอยากมีชีวิตแบบไหนกันแน่</p>
<div class="footnotes" role="doc-endnotes">
<ol>
<li id="fn:1" role="doc-endnote">
<p>la primera línea, first line, แนวที่หนึ่ง เป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในประเทศชิลีเมื่อเดือนตุลาคม 2019 สาเหตุของการรวมตัวประท้วงนั้นมาจากราคาบัตรรถไฟใต้ดินปรับตัวสูงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการทุจริตของรัฐบาล พวกเขาเรียกร้องให้มีการปรับแก้โครงสร้างทางเศรษฐกิจ และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การชุมนุมประท้วงยืดเยื้อเป็นเวลาหลายเดือน มีทั้งการชุมนุมแบบสงบ การทำลายข้าวของ การจลาจล การขโมยของในร้านรวงต่างๆ ทำให้รัฐบาลชิลีต้องใช้กองกำลังมหารเข้ามาควบคุมและประกาศเคอร์ฟิว ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย เพียงแต่การชุมนุมต้องหยุดชั่วคราวจากโรคระบาดโควิด-19 <a href="#fnref:1" class="reversefootnote" role="doc-backlink">↩</a></p>
</li>
<li id="fn:2" role="doc-endnote">
<p>สถานีรถไฟใต้ดินซานติอาโกเป็นสถานที่แรกที่เกิดการประท้วง มีการเผาทำลายทรัพย์สิน อาคารสถานที่ ก่อนที่การประท้วงจะขยายไปทั่วชิลี <a href="#fnref:2" class="reversefootnote" role="doc-backlink">↩</a></p>
</li>
</ol>
</div>
https://crimethinc.com/2017/03/16/klngmiiyuuthukthii-thiiruusuekpldphayaimmiielysakthii-thamaimklngtidtawtamrwcchthuengaimthamaiheraapldphaykhuen
2017-03-16T18:00:00Z
2022-02-18T07:52:21Z
กล้องมีอยู่ทุกที่ ที่รู้สึกปลอดภัยไม่มีเลยสักที่ : ทำไมกล้องติดตัวตำรวจถึงไม่ทำให้เราปลอดภัยขึ้น
การที่ตำรวจไม่ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกรไม่ได้เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครเห็น แต่เพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ยิ่งใหญ่กว่าจนทุกสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย
<figure><img class="u-photo" alt="" src="https://cdn.crimethinc.com/assets/articles/2017/03/16/header.jpg" /></figure>
<p>เราต่างทราบกันดีว่าการใช้ความรุนแรงของตำรวจเป็นปัญหาที่แท้จริงในสหรัฐอเมริกา ทำให้เข้าใจได้ถึงสถานการณ์ที่ผู้คนกำลังวางแผนเพื่อหาวิธีการป้องกันตนและคนที่รักเพื่อไม่ให้ถูกตำรวจทำร้ายหรือสังหาร หลายคนที่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เริ่มสนับสนุนให้ตำรวจสวมใส่กล้องวีดิทัศน์ติดตัวกับเครื่องแบบของพวกเขา โดยมีแนวคิดที่ว่ากล้องจะเป็นสิ่งช่วยป้องกันความรุนแรงของตำรวจ หรืออย่างน้อยที่สุดเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ให้รับผิดชอบหลังความจริงปรากฏ กลุ่มผู้ทำกิจกรรมการรณรงค์เพื่อปฏิรูปตำรวจ (ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดของนักปฏิรูป Black Lives Matter) และสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันกำลังสนับสนุนมาตรการนี้ แม้แต่กรมตำรวจเองก็ได้ผ่านการลงนามเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงแม้จะเกิดการต่อต้านขึ้นในระยะแรกก็ตาม แต่แนวคิดที่ว่าการมีกล้องจำนวนมากขึ้นจะช่วยหาผู้รับผิดชอบได้ดีขึ้นนั้น (อย่างไรก็ตาม เราคิดไปเอง) อาจขึ้นอยู่กับหลักฐานที่มีความผิดพลาด การที่ตำรวจไม่ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกรไม่ได้เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครเห็น แต่เพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ยิ่งใหญ่กว่าที่บอกพวกเขาว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะเข่นฆ่าประชาชน ซึ่งในทุกระดับของสังคมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้พิพากษา อัยการถึงคณะลูกขุน พลเมือง และสื่อ ต่างล้วนให้การสนับสนุนส่งเสริมมุมมองของตำรวจอย่างไร้ซึ่งเหตุและผล จึงไม่น่าแปลกใจที่ระดับชั้นบรรยากาศนี้ตำรวจสามารถกระทำการฆาตกรรมผู้ใดก็ได้โดยปราศจากความกลัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น</p>
<p>กลุ่มผู้สนับสนุนกล้องติดตัวแบบสวมใส่ของตำรวจรวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่บังเอิญเห็นเหตุการณ์การถ่ายทำภาพยนตร์ของตำรวจ ต่างเรียกร้องมาโดยตลอดให้กล้องทำหน้าที่สร้างความเท่าเทียมระหว่างตำรวจกับประชาชนเพราะพวกเขาต้องตกเป็นเครื่องมือสำหรับความรับผิดชอบ แต่กลับมีหลักฐานน้อยมากที่สนับสนุนการเรียกร้องดังกล่าว หลายคนคิดว่าสิ่งที่ถูกเห็นด้วยภาพบันทึกวีดิทัศน์ผ่านกล้องนั้นนำมาซึ่งความรับผิดชอบ แต่ต้องเป็นความรับผิดชอบแบบไหนกันจึงจะสาสมกับการถูกตำรวจกระทำทารุณกรรมด้วยการใช้ความรุนแรง หากเงินที่ต้องจ่ายชำระในรูปของค่าปรับหรือค่าชดเชยเปรียบเสมือนทั้งหมดที่นักปฏิรูปตำรวจต้องการแล้ว พวกเขาจะเรียกร้องได้จากที่ไหนเมื่อไม่มีอะไรให้ต้องจ่ายบนคำตัดสินชี้ขาดที่ว่า บริสุทธิ์ หรือการพิจารณาคดียังไร้ซึ่งข้อสรุป ในขณะที่พวกเขาจำต้องยอมจำนนต่อคำพิพากษาอย่างเกือบที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้กระนั้นหรือ หรือพวกเขาควรกลับบ้านและมีความสุขเหลือเกินกับกระบวนการศาลยุติธรรม หรือยังมีอีกหลายทางเลือกที่ตั้งอยู่บนช่องทางอื่นอย่างไม่เป็นทางการ สะท้อนถึงความจริงที่ว่าเราต่างไม่มีปัญหาเรื่องการถูกมองเห็นด้วยกล้องแต่เรามีปัญหาทางการเมือง ซึ่งมีเพียง “ความรับผิดชอบ” เท่านั้นที่เราเห็นว่าจะเกิดการชำระเงินขึ้นเป็นครั้งคราว (จ่ายโดยผู้เสียภาษี) การชำระเงินเหล่านี้ไม่ถือเป็นส่วนความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี หรือเป็นการสร้างการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการถูกทำร้ายและการฆาตกรรมในอนาคตแต่อย่างใด</p>
<p>ถึงแม้ว่าจะเกิดความลังเลขึ้นในช่วงแรกของการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้ แต่หน่วยงานตำรวจทั้งกรมและเจ้าหน้าที่ต่างทำการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่ากล้องนั้นสร้างคุณค่าต่อพวกเขามากกว่าที่พวกเขาสร้างคุณค่าต่อสาธารณชนทั่วไปภายใต้การเฝ้าระวังตรวจตรา ขณะนี้เรามีหน่วยงานตำรวจ 4,000 แห่งในสหรัฐอเมริกาที่ใช้กล้องติดตัวตำรวจ รวมถึงหน่วยงานในชิคาโกและนิวยอร์กที่ใหญ่ที่สุดอีกสองแห่ง จึงไม่มีคนแปลกหน้าที่ไหนที่ก่อปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรงแก่บุคคลอื่นแล้วจะหลบหนีไปได้ ผู้ครองตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าทางธุรกิจกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี Taser Inc หลังจากทำการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยชื่อที่เหมือนกันก็ถูกนำไปใช้เพื่อการเข่นฆ่า ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 500 ราย ในช่วงระหว่างปี 2544 ถึง 2555 Taser ได้เริ่มทำการติดตั้งกล้องเพิ่มในปืนยิงยาสลบของพวกเขาเมื่อปี 2549 พร้อมกับแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดด้วยกล้องติดตัวที่สามารถสวมใส่ได้ในปี 2551 ตั้งแต่นั้นมามูลค่าหุ้นของ Taser ได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าสิบเท่าตัว นี่ไม่ได้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ยังมีการรับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลโอบามา ซึ่งใช้งบประมาณไปกว่า 19.3 ล้านเหรียญสหรัฐในการจัดซื้อกล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ จำนวน 50,000 ตัว เพื่อใช้สำหรับหน่วยงานที่มีการบังคับใช้ภายใต้กฎหมาย Taser ยังได้เปิดตัวบริการจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์เพื่อเสนอให้กับกองกำลังตำรวจ (ใช่ ที่ให้บริการจัดเก็บหลักฐานแบบส่วนตัว) มีการนำเสนอการผลิตโดรนพร้อมปืนยิงยาสลบ (และแน่นอน กล้อง) ประกอบเข้าด้วยกัน และเมื่อไม่นานมานี้ได้ทำการซื้อ Dextro ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในการระบุตัวตนและจัดทำดัชนีของใบหน้าและวัตถุเฉพาะ</p>
<figure class="">
<img src="https://cdn.crimethinc.com/assets/articles/2017/03/16/body-cams-1.jpg" /> <figcaption>
<p>การถูกมองเห็นเปรียบเสมือนกับดัก – Michel Foucault</p>
</figcaption>
</figure>
<blockquote>
<p>เมื่อคืนก่อนฉันยืนอยู่บนชานชาลารถไฟใต้ดินและแหงนมองป้ายดิจิทัลที่ประกาศเวลาการมาถึงของขบวนถัดไป แต่ ณ ขณะนั้น ป้ายสัญญาณกำลังส่งข้อความที่ต่างออกไป
“กล้องวงจรปิดไม่รับประกันว่าจะป้องกันการก่อให้เกิดเหตุแห่งอาชญากรรมได้” ช่างรู้สึกทึ่งที่บรรดาสถาบันการติดตั้งกล้องวงจรปิดต่างยอมรับสิ่งนี้ ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากที่ได้รับการเฝ้าระวังตรวจตราจากกล้องวงจรปิดนั้นกลับไม่ตระหนักถึงแนวคิดนี้ เพราะพวกเขาล้วนให้การสนับสนุนการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้</p>
</blockquote>
<p>เหนือกว่าความเชื่ออื่นใด คน “ประพฤติ” ในขณะที่ผู้อื่นกำลังเฝ้าจับตาดูอยู่ และกล่าวถึงน้อยครั้งกว่าสิ่งใด ไม่มีวิธี “ประพฤติ” ที่เหมาะสมกับทุกคน หากตำรวจมีความเชื่อดังที่แสดงออกเพื่อชี้ชัดให้เห็นว่าการกระทำของพวกเขานั้นเป็นธรรม ผู้บังคับบัญชาของพวกเขา ระบบกฎหมาย และประชากร ในภาพรวมล้วนเห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยกรณีใดก็ตาม</p>
<p>น่าเสียดายที่พวกเราบางคนพบเห็นพวกเขา ซึ่งยังคง “ประพฤติ” ตามแบบฉบับที่พวกเขากระทำมาตั้งแต่ต้น แม้จะมี (และอาจเป็นเพราะ) กล้องที่เฝ้าจับตาดูอยู่</p>
<p>ตำรวจไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อกฎหมายหรือที่เหนือกว่ากฎหมาย นั้นเป็นเพราะไม่จำเป็น</p>
<p>มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ตำรวจผู้ลงมือฆ่าผู้อื่นนั้นไม่ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกร ประการแรกส่วนของกฎหมายและการตัดสินพิจารณาคดีของศาลต้องมีภาระการพิสูจน์ที่หนักอึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อที่จะสามารถเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่ด้วยข้อหา “ปฏิบัติหน้าที่ด้วยการกระทำการโดยขาดซึ่งเหตุผล” ซึ่งรัฐวอชิงตันนั้นถือเป็นรัฐที่มีอุปสรรคสูงสุดในการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากถ้อยคำข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงของตำรวจทำให้มีตำรวจรัฐวอชิงตันเพียงนายเดียวเท่านั้นที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาฆาตกรรมผู้อื่นในช่วงตลอดระยะเวลาระหว่างปี 2548 ถึง 2557 ถึงแม้ว่าจะมีประชาชนผู้เสียชีวิตเป็นจำนวน 213 ราย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสังหาร และเจ้าหน้าที่นายหนึ่งกลับถูกพบว่าไม่มีความผิดแม้จะมีผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงจากด้านหลังก็ตาม นอกเหนือจากเอกสารทางกฎหมายสำหรับการพิสูจน์แล้ว ตำรวจ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่สอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ลงมือฆ่า ช่างเป็นความฉาวโฉ่แห่งการกระจุกตัวเพื่อปกป้องกรมของตนถึงกับมีการตั้งรหัสที่ใช้ติดต่อกันเพื่อเรียกชำระค่าใช้จ่ายทั้งมวล และลำดับต่อไปคงไม่พ้น อัยการ พวกเขาจำต้องขึ้นอยู่กับตำรวจเป็นพื้นฐานแบบวันต่อวัน อย่างแน่นอนที่สุดเพื่อประโยชน์ของรูปคดี แต่ยังมีอีกหลายแรงจูงใจที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างมีความสุข ด้านล่างนี้เรามีบรรดาผู้พิพากษาและคณะลูกขุนผู้ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เหนือผู้คนที่วิจารณ์หรือฟ้องร้องพวกเขา</p>
<p>ในที่สุดเราก็มีสื่อที่ไม่แสดงความคิดเห็นโดยปราศจากการตั้งคำถามแบบตำรวจนกแก้วและผู้บริโภคสื่อที่เป็นผู้สร้างคณะลูกขุน คณะลูกขุนมักประกอบด้วยผู้ที่สามารถหยุดงานได้ ในขณะที่ผู้ที่ถูกตำรวจฆ่าส่วนใหญ่มักจะมาจากชนชั้นล่าง จึงเป็นเรื่องยากที่คนเหล่านี้จะเป็น “เพื่อนร่วมงาน” กับผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ในคณะลูกขุน</p>
<p>จากการรวบรวมข้อมูลเท่าที่สามารถค้นหาได้ในช่วงเวลากว่าเก้าปีที่มีการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้ พบว่า มีเพียงกรณีเดียวที่ตำรวจต้องเผชิญกับข้อหาฆาตกรรมหลังจากที่พวกเขาฆ่าใครบางคนในขณะที่สวมใส่กล้อง เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2557 ที่อัลบูเคอร์คี มลรัฐนิวเม็กซิโก James Boyd ได้ตั้งแคมป์ในสวนสาธารณะในเมือง ทำให้มีประชาชนโทรแจ้งตำรวจจนในที่สุดมีเจ้าหน้าที่ถึงสิบเก้านายที่ทำการตอบรับโทรศัพท์เหล่านั้น</p>
<p>การรวมกันของสองสิ่งสุนัขและมือปืน เป็นที่รู้กันว่า Boyd มีอาการของโรคจิตเภทและกำลังถือมีดในมือทั้งสองข้างเพื่อใช้ในการป้องกันตัว หลังจากเกิดความขัดแย้งนานกว่าสามชั่วโมงเจ้าหน้าที่สองนาย Keith Sandy และ Dominique Perez ได้ยิง Boyd รวมหกนัดด้วยกัน ในวันที่ 11 ตุลาคม 2559 การพิจารณาคดีนี้ได้รับการประกาศว่าเกิดความผิดพลาดจากการที่คณะลูกขุนถูกปิดกั้น โดยลูกขุนเก้าท่านเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์และอีกสามท่านเชื่อว่าพวกเขาล้วนมีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา กล้องติดตัวของเจ้าหน้าที่ Sandy และ Perez ไม่ได้ป้องกันไม่ให้พวกเขายิง Boyd หรือวีดิทัศน์ที่พวกเขาบันทึกเหตุการณ์ไว้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อการตายของชายผู้นี้ อัยการได้อ้างว่าวีดิทัศน์ “ไม่สามารถโกหกได้” แต่คณะลูกขุนทั้งเก้าท่านต่างเห็นวีดิทัศน์ของชายที่มีความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ถูกรายล้อมด้วยตำรวจถึงสิบเก้านาย และถูกยิงรวมทั้งสิ้นหกนัด แล้วยังกล้าตัดสินคดีว่าตำรวจเหล่านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเหตุสมผล วีดิทัศน์อาจไม่โกหกแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง อาจเป็นเพียงการชี้ชัดให้เห็นถึงมุมมองและหัวเรื่องที่ต้องนำมาตีความต่อ ตามที่มีผู้นำไปเขียนเพิ่มเติมไว้ดังนี้</p>
<p>Keith Sandy เกษียณแล้วส่วน Dominique Perez พร้อมที่จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ของเขาอีกครั้งเป็นเรื่องบ่อยครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เนื่องจากเงินค่าปรับหรือเงินชดเชยที่มีผู้ฟ้องร้องเอากับตำรวจนั้นไม่ได้เป็นส่วนความรับผิดชอบแต่อย่างใดของบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีหรือแม้กระทั่งของกระทรวงเอง แต่ในการชำระเงินชดเชยจำนวนเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับครอบครัวของ James Boyd เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีการเสียชีวิตนั้นถูกจ่ายโดยผู้เสียภาษีของเมืองอัลบูเคอร์คี</p>
<p>ในขณะที่เกิดการแพร่หลายของวีดิทัศน์ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ฆาตกรรมโดยตำรวจ ความนิยมของโทรศัพท์มือถือที่ติดตั้งกล้องวีดิทัศน์ในตัวก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราไม่เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของ “ความรับผิดชอบ” ยังมีตำรวจอีกมากที่ไม่ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกร อีกมากที่ไม่ถูกตัดสินโทษในคดีฆาตกรรม และอีกจำนวนมากของตัวเลขการฆาตกรรมโดยตำรวจที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง คดีฆาตกรรม Eric Garner อยู่ในกำมือของเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจนิวยอร์ก Daniel Pantaleo มีการบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้โดยผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ แต่วีดิทัศน์นี้ไม่ได้ช่วยชีวิตของ Garner หรือนำไปสู่ความรับผิดชอบใดๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ Pantaleo (ถึงแม้ว่าเมื่อสองปีก่อนเขาได้ใช้ช่วงวันหยุดติดต่อกันสองวันสำหรับการตั้งด้านหยุดและตรวจค้นอย่างผิดกฎหมาย ก่อนที่เขาจะลงมือฆ่า Garner)</p>
<p>“ทั้งโลกกำลังจับตาดูอยู่!” เป็นวลีที่ฝูงชนนับไม่ถ้วนต่างเปล่งเสียงร่ายท่วงทำนองเมื่อสิ้นสุดการถูกทารุณกรรมด้วยการใช้ความรุนแรงของตำรวจ เลิกขยายความพูดเกินจริงเราเองควรเริ่มตั้งคำถาม แล้วยังไงล่ะ Don Rose นักหนังสือพิมพ์และนักกิจกรรมอ้างว่าได้ประกาศเกียรติคุณแก่ถ้อยวลีนี้ด้วยการสรรเสริญผ่านคำกล่าวที่ว่า “…บอกพวกเขาว่าทั้งโลกกำลังจับตาดูอยู่และพวกเขาไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้อีกครั้ง”</p>
<p>แต่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์กลับบ่งชี้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้ประท้วงถูกโจมตีโดยตำรวจจึงรังสรรค์การส่งต่อของท่วงทำนองแห่งวลีที่มีชื่อเสียงที่สุด นอกการประชุมประชาธิปไตยแห่งชาติในชิคาโก เมื่อปี 2511 แม้ว่าจะมีการอ้างสิทธิ์ของ Rose แต่นายกเทศมนตรีเมืองชิคาโกในขณะนั้นได้อ้างว่า เขาได้รับจดหมายสนับสนุนกว่า 135,000 ฉบับ ว่าไม่เคยมีเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียวที่ได้รับโทษเนื่องจากใช้ความรุนแรงในการปฏิบัติหน้าที่ แม้ในขณะที่เกือบทั้งโลกกำลังเฝ้าจับตาดูอยู่นั้นยังคงเกิดอีกหลายคดีอันอื้อฉาวโด่งดัง อาทิเช่น คดีการถูกทำร้ายของ Rodney King กลับยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าตำรวจผู้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีที่สมควรต้องรับผิดชอบนั้นจะถูกตัดสินให้รับโทษหรือไม่ (คณะลูกขุนเพียงให้เจ้าหน้าที่พ้นจากตำแหน่ง ผู้ที่ทำร้าย King) จากการประท้วงในปี 2542 ขององค์การการค้าโลกในซีแอตเทิลไปจนถึงวอลล์สตรีท ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตามที่ผู้ประท้วงเอาชนะม้าที่ตายนี้ด้วยท่วงทำนองแห่งวลี ตำรวจก็ยังคงทำการโจมตีบนหัวของพวกเขาต่อไปโดยไม่ได้รับผลกระทบมากนักและอ้างว่าเพื่อเป็นการยุติการก่อความรุนแรง</p>
<figure class="video-container ">
<iframe src="https://www.youtube.com/embed/EYp1JgwotXU" frameborder="0" gesture="media" allow="encrypted-media" allowfullscreen=""></iframe>
<figcaption class="caption video-caption video-caption-youtube">
<p>ทั้งโลกอาจกำลังจับตาดูอยู่ แต่พวกเขาได้ใส่ใจไหม</p>
</figcaption>
</figure>
<p>การสนับสนุนชวนเชื่อของกล้องติดตัวตำรวจมักอิงจากกรณีศึกษาของกรมตำรวจ Rialto ซึ่งเริ่มใช้กล้องติดตัว (กับเจ้าหน้าที่บางคน) ในปี 2555 กรณีศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการลดลงอย่างมากของจำนวนการร้องเรียนต่อกองกำลังตำรวจ ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาสื่อและกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากต่างโน้มน้าวให้การลดลงของการร้องเรียนนี้ส่งผลในเชิงบวกเพียงเพราะมีการนำกล้องติดตัวตำรวจมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ กรณีศึกษาจากผู้เขียนท่านอื่นมีเพียงไม่กี่ชิ้นที่เป็นที่ยอมรับ Tony Farrar เคยมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในฐานะหัวหน้ากรมตำรวจของ Rialto เจ้าหน้าที่ Farrar ถูกเชิญมาเพื่อช่วยกรมตำรวจที่ล้มเหลว ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งการกองกำลังจำนวนมากพอที่จะสามารถใช้ขมขู่ด้วยการสั่งให้ปลดประจำการได้ทั้งกอง เขาได้สร้างแรงจูงใจอันทรงพลังเพื่อลดการใช้กองกำลังของเจ้าหน้าที่ภายใต้บังคับบัญชาทั้งที่มีหรือไม่มีกล้องติดตัว ในอีกแง่มุมหนึ่งที่สื่อต่างละเลยเพิกเฉยถึงความสัมพันธ์สอดคล้องอันแท้จริงแห่งกรณีศึกษา จำนวนการร้องเรียนที่ลดลงนั้นมิได้หมายรวมถึงการลดจำนวนลงของเหตุแห่งการร้องเรียน ถึงแม้การร้องเรียนที่ลดลงนั้นสร้างผลประโยชน์เชิงบวกสำหรับตำรวจเช่นเดียวกับตัวกล้องเอง แต่ไม่จำเป็นต้องส่งผลเช่นเดียวกันนี้สำหรับพวกเราที่เหลือ ผู้คนยังมีอีกหลายเหตุผลบนความถูกต้องที่จะร้องเรียนแต่ความกลัวต่อผลกระทบที่เป็นไปได้นั้นส่งผลยับยั้งพวกเขา ความกลัวนี้สร้างการแผ่ขยายออกได้ในขณะที่กล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นเป็นเพียงตัวแทนของการเฝ้าระวังตรวจตราในรูปแบบอื่น กรณีนี้กล้องติดตัวจะเพิ่มบรรยากาศของการขู่ขวัญและมีแนวโน้มที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปสงบลงมากกว่าที่จะเป็นการทำให้สงบลงด้วยนักฆ่าติดอาวุธพร้อมมือในชุดที่สวมใส่ ไม่ว่ากล้องติดตัวตำรวจจะบันทึกสิ่งใดก็ตามจะเป็นมุมมองที่ใช้เพื่อสนับสนุนตรรกศาสตร์ของรัฐและเหล่าตำรวจเลวเสมอ</p>
<p>ความคิดและความคิดเห็นที่มีอยู่ของผู้คนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นผู้กำหนดวิธีการตีความภาพวีดิทัศน์เอง ซึ่งเราต่างไม่มีเหตุผลให้เชื่อว่าตำรวจเป็นผู้กำกับดูแล คณะกรรมการบริหาร อัยการ ผู้พิพากษาหรือคณะลูกขุน และผู้ที่จะต้องดูวีดิทัศน์เหล่านี้ที่จะได้เห็นในสิ่งเดียวกันกับที่เหยื่อและนักวิจารณ์ตำรวจเห็น ช่างเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งหากจะคิดไปเองว่าการรับผิดชอบนั้นคล้อยตาม “การปฏิรูป” เฉกเช่นเดียวกับการนำกล้องติดตัวมาใช้ เมื่อหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้เป็นอย่างอื่นมุมมองของตำรวจจะถือเป็นสิ่งสำคัญที่มีสิทธิพิเศษเหนือผู้ที่วิจารณ์ต่อว่าหรือเป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีพวกเขาในสายตาของผู้พิพากษา คณะลูกขุน และประชาชนทั่วไป เพราะกล้องติดตัวตำรวจเป็นสิ่งที่ใช้ในการแสดงให้เห็นถึงมุมมองอันแท้จริงของตำรวจ (แง่มุมที่ Taser ได้กล่าวไว้ในสื่อการตลาดของตนเอง) วีดิทัศน์เหล่านี้มีมุมมองที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจง่ายเหมือนการมองเห็นด้วยการแทนที่ตัวเองกับรองเท้าของเจ้าหน้าที่ โดยสร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อตำแหน่งงานและการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้สวมใส่กล้องติดตัว</p>
<figure class="">
<img src="https://cdn.crimethinc.com/assets/articles/2017/03/16/body-cams-2.jpg" /> <figcaption>
<p>กล้องทุกตัวที่ติดกับเครื่องแบบตำรวจเป็นเพียงอีกหนึ่งเครื่องจักรกลที่ปลอบให้เราสงบ</p>
</figcaption>
</figure>
<p>ในฐานะที่โตมาในยุคของโทรทัศน์ช่วงปี 2523 จึงได้เรียนรู้จากภาพยนตร์เรื่อง G. I. Joe ว่าการรู้เป็นเพียงครึ่งเดียวของการต่อสู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผิดมหันต์ คือ การรู้เป็นเพียงครึ่งเดียวของการต่อสู้ด้วยส่วนที่เหลือเป็นการกระทำ เราสามารถพึ่งพาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยเราได้แต่คงไม่ได้มากไปกว่าการที่เราจะสามารถพึ่งพาระบบศาลอันเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเฝ้าระวังตรวจตรา</p>
<figure class="video-container ">
<iframe src="https://www.youtube.com/embed/pele5vptVgc" frameborder="0" gesture="media" allow="encrypted-media" allowfullscreen=""></iframe>
</figure>
<p>ในทุกวันนี้ทุกแห่งหนที่คุณเดินทางไปจะมีข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นอะไรบางอย่าง ให้พูดอะไรสักอย่าง” และอาจเป็นนักปฏิวัติตำรวจ (เช่น โครงการรายงานการประพฤติมิชอบของตำรวจแห่งชาติโดยกาโต้) ที่ได้ขยายขอบเขตไปที่ “ถ้าคุณเห็นอะไรบางอย่าง ให้บันทึกภาพอะไรสักอย่าง” แต่คำสั่งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีคิดที่ว่าการเป็นพยานนั้นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว กล่าวได้ว่าในการบันทึกภาพความโหดร้ายดังกล่าวคุณได้กระทำตามภาระหน้าที่ทางศีลธรรมของคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สันนิษฐานได้ว่าหลังจากที่คุณทำการบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้นั้นวงล้อของระบบจะหมุนจนในที่สุดความยุติธรรมจะอยู่เหนือสิ่งอื่นใด… ซึ่งเราเห็นว่าเป็นเพียงความปรารถนาทางความคิด เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราแทนที่ด้วยประโยคที่ว่า “ถ้าคุณเห็นอะไรบางอย่าง ให้ทำอะไรสักอย่าง” เช่นนั้นหรือ หรือถ้าเหตุการณ์ทุกครั้งเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งใจทำร้ายหรือคุกคามใครบางคน พวกเขาคงต้องเกรงกลัวต่อการที่ผู้เห็นเหตุการณ์อาจไม่เพียงแค่เป็นพยานแต่จะพยายามหยุดยั้งพวกเขา ก่อน ที่จะลงมือกระทำการใดๆ สำเร็จ ก่อนที่พวกเขาจะสร้างความชอกช้ำขมขื่นหรือปลิดชีพใครบางคนเยี่ยงนั้นหรือ แล้วอะไรกันที่จะทำให้สิ่งนี้เป็นความจริงขึ้นมาได้</p>
<p>ผู้ที่สนับสนุนการใช้กล้องติดตัวตำรวจต้องการเชื่อในความรับผิดชอบที่ผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ โดยหวังว่าการทำให้ถูกมองเห็นผ่านกล้องนั้นจะช่วยปกป้องเราจากภัยคุกคามอันแท้จริง จากการเพิ่มจำนวนการจัดกองกำลังตำรวจในปัจจุบัน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อุปกรณ์วีดิทัศน์เหล่านี้ไม่สามารถใช้งานได้จริงตามเจตจำนงที่ตั้งไว้ ทั้งที่มีส่วนช่วยในการเฝ้าระวังตรวจตราในรูปแบบที่สร้างประโยชน์มากขึ้นแกพวกเราทุกคน เราไม่จำเป็นต้องทราบข้อมูลให้ละเอียดขึ้นในสิ่งที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่แต่เราจำเป็นต้องหยุดพวกเขาจากการประพฤติในสิ่งที่พวกเขามักกระทำ เราไม่ได้มองหาความโปร่งใสหรือความรับผิดชอบแต่เรากำลังมองหาโลกที่ปราศจากตำรวจ เราต้องการที่จะอยู่เหนือความต้องการสำหรับการรับผิดชอบเพื่อสร้างโลกที่ไม่เพียงแต่ไม่ปรารถนาให้มีตำรวจแต่ไม่แม้แต่จะเอื้ออำนวยสนับสนุนส่งเสริมต่อผู้ที่จะประสงค์จะมาดำรงตำแหน่งตำรวจของเรา</p>
<hr />
<p>อ่านเพิ่มเติม</p>
<p>Ben Brucato:</p>
<p>The New Transparency: Police Violence in the Context of Ubiquitous Surveillance</p>
<p>Policing Made Visible: Mobile Technologies and the Importance of Point of View</p>
<p>Standing By Police Violence: On the Constitution of the Ideal Citizen as Sousveiller</p>
https://crimethinc.com/2000/09/11/phlitphlkhuuekaakptikuulkhngkaarkratham
2000-09-11T07:00:00Z
2022-03-13T23:25:52Z
ผลิตผลคือกากปฏิกูลของการกระทำ
<p>ตอบมาตามจริงนะ คุณเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่คุณทำอยู่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมเพราะตัวกิจกรรมนั้นเองล้วน ๆ โดยไม่ได้คิดถึงอนาคตหรือพะว้าพะวงถึงผลที่จะตามมาในระยะยาว คุณใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นทั้งเดือนครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่? คุณมีปัญหากับการอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า? คุณลืมภาระความรับผิดชอบ เป้าหมายในชีวิต และประสิทธิภาพการทำงานของตัวเองไม่ได้ใช่ไหม?</p>
<p>ทุกวันนี้ ชีวิตคนเรารายล้อมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ เราวัดคุณค่าของตัวเองจากวัตถุที่เราครอบครอง จากอำนาจในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่นอกตัวเรา เราประเมินความสำเร็จในชีวิตจากผลิตภาพ (productivity) หรือก็คือ ความสามารถในการผลิตสร้างสิ่งต่าง ๆ ระบบสังคมของเราขึ้นอยู่กับการผลิตและบริโภควัตถุสิ่งของมากกว่าสิ่งอื่นสิ่งใด แม้กระทั่งตอนที่เราไม่ได้นึกถึงวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เราก็นำเสนอภาพชีวิตตัวเองออกมาเป็นสิ่งของ เราคิดใคร่ครวญถึงความสำเร็จของเรา โอกาสในอนาคต ตำแหน่งทางสังคม… อะไรก็ตามแต่ยกเว้นความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเอง เราบอกกับตัวเองว่า “ผลลัพธ์ทำให้วิธีการที่ใช้ถูกต้องชอบธรรม” พูดอีกอย่างก็คือ ผลของการกระทำของเรา—ผลลัพธ์สูงสุดในชีวิตเรานั้น—สำคัญกว่ากระบวนการการใช้ชีวิตของเราเสียอีก</p>
<p>แต่ผลิตผลคือกากปฏิกูลของการกระทำ ผลิตผลคือสิ่งที่เหลืออยู่เมื่อฝุ่นคลุ้งตลบเบาบางลง เมื่อชีพจรกลับสู่ระดับปกติ เมื่อวันสิ้นสุดลง เมื่อสัปเหร่อฝังโลงศพลงในดิน เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในใบประเมินผล หรือในมวลฝุ่นที่กำลังเบาบางลง เราอยู่ที่นี่ตอนนี้ในปัจจุบันกาล ในการสร้าง ในการกระทำ ในอารมณ์ความรู้สึก เราพยายามแสวงหาความเป็นอมตะโดยการหนีเข้าไปอยู่ในโลกแห่งภาพจำลองที่ไม่แปรเปลี่ยนและไม่มีวันสูญสลาย เช่นเดียวกัน เราต่างก็พยายามถ่ายโอนตัวเองออกสู่ภายนอก (externalization) ด้วยการคิดว่าตัวเองมีค่าเท่ากับผลลัพธ์รวมของการกระทำ มากกว่าจะคิดถึงประสบการณ์การกระทำสิ่งต่าง ๆ ในตัวมันเอง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันยากเหลือเกินที่จะต้องมานั่งกังวลว่าเรากำลังมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่จริง ๆ หรือเปล่า หรือเรากำลังรู้สึกอย่างไรในขณะนี้ มันง่ายกว่าที่เราจะเอาใจไปจดจ่ออยู่กับผลลัพธ์ ซึ่งเป็นหลักฐาน [ความสำเร็จ] ในชีวิตที่เชื่อถือได้ สิ่งเหล่านี้ดูจะเข้าใจได้ไม่ยากนัก และกำหนดควบคุมได้สะดวกยิ่งกว่า</p>
<p>สังคมสมัยใหม่มุ่งความสนใจไปที่การผลิตและการแจกจ่ายวัตถุสิ่งของ มากกว่าจะสนใจความสุขและความพึงพอใจของสมาชิกในสังคม ด้วยเหตุนี้ มนุษย์สมัยใหม่จึงคำนึงถึงชีวิตตัวเองในแง่ของผลลัพธ์ที่เอาไว้โชว์ให้คนอื่นดูได้ มากกว่าจะคำนึงถึงชีวิตในตัวมันเอง</p>
<p>แน่นอนว่าผู้ใช้แรงงานทั่ว ๆ ไปในยุคนี้ต่างคุ้นชินกับการคิดถึงผลลัพธ์มากกว่าวิธีการ เขาทุ่มเทเวลาและพลังงานส่วนใหญ่ไปกับงานที่ค่อนข้างจะแน่นอนว่าไม่ได้เติมเต็มความใฝ่ฝันของเขา เขาตั้งตารอวันเงินออกทุก ๆ สองสัปดาห์ เพราะเงินค่าจ้างคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย หากไม่มีมัน เขาก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังหายใจทิ้งไปวัน ๆ หากเขาไม่ได้มองว่า “ผลลัพธ์” ของสิ่งที่ทำอยู่สมเหตุสมผลกับการกระทำ ชีวิตก็จะเป็นอะไรที่ทรมานเหลือทน—จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาพินิจพิจารณาความรู้สึกตัวเองอยู่ตลอดเวลาขณะจัดแจงของชำใส่ถุง จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาถามตัวเองทุกครั้งว่า ‘ที่ทำอยู่นี่มีความสุขมั้ย?’ ขณะกำลังปลุกปล้ำอยู่กับเครื่องส่งแฟกซ์? ตราบเท่าที่ประสบการณ์ในชีวิตประจำวันยังคงซ้ำซากน่าเบื่อและไร้ความหมาย เขาก็จำต้องตั้งตารอวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึง การลาพักผ่อนครั้งต่อไป และของชิ้นใหม่ที่จะซื้อ เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นบ้าไปเสียก่อน และในที่สุด เขาก็จะนำเอาวิธีคิดนี้ไปใช้กับแง่มุมอื่น ๆ ในชีวิตด้วย เขาจะประเมินว่าตัวเองควรหรือไม่ควรทำอะไรดีจากผลตอบแทนของการกระทำนั้น ๆ เช่นเดียวกับที่เขาจะประเมินคุณค่าของงานหนึ่ง ๆ จากค่าแรงที่เขาได้จากงานนั้น ๆ</p>
<p>ดังนั้น ปัจจุบันจึงเป็นอะไรที่แทบจะหมดความสำคัญไปเลยสำหรับมนุษย์ยุคใหม่ เขาใช้ชีวิตไปกับการวางแผนเพื่ออนาคตอยู่ตลอดเวลา เขาเรียนเพื่อเอาใบปริญญา มากกว่าจะเรียนเพื่อความสุขของการศึกษาหาความรู้ เขาเลือกงานที่เงินดี “มั่นคง” ทำแล้วมีหน้ามีตาในสังคม มากกว่างานที่ทำแล้วมีความสุข เขาเก็บเงินไว้ซื้อของแพง ๆ และทริปลาพักร้อน มากกว่าจะเก็บหอมรอมริบไว้ไถ่ตัวเองออกจากการเป็นทาสค่าแรง ไปสู่การมีอิสรภาพเต็มเวลา เมื่อเขาพบว่าตัวเองกำลังมีความสุขอย่างล้นพ้นอยู่กับมนุษย์อีกคนหนึ่ง เขาก็จะพยายามแช่แข็งห้วงเวลานั้นไว้ และทำให้มันติดตรึงอยู่กับที่อย่างสถาพร (เป็นสัญญา) โดยการแต่งงานกับเธอ เขาไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เขาถูกพร่ำบอกให้หมั่นทำความดีเข้าไว้ ไม่ใช่เพื่อความปีติยินดีของการได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเขาจะได้มาซึ่งความรอด (salvation) ชั่วนิรันดร์ (ดังที่นิตเช่กล่าวไว้ว่า แม้แต่ชาวคริสต์ตัวอย่างก็ยังต้องการค่าจ้างงานที่ดี) “การกระทำอันสูงส่งโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา”—ความสามารถในการกระทำเพื่อการกระทำนั้นเอง อันเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัววีรบุรุษทุกคน—เป็นอะไรที่ยากเกินความสามารถของเขา</p>
<p>ชายหญิงชนชั้นกลางวัยกลางคนประสบปัญหาในการออกมาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เพราะไม่สามารถวางมือจากแผนการลงทุนและแบบประกันชีวิตได้ เป็นภาพจำเจสุดคลีเช (cliche) ที่พบเห็นได้ทั่วไป ทว่าบ่อยครั้งเหลือเกินที่พวกเราเองก็ลงเอยด้วยการเอาปัจจุบันไปแลกกับอนาคต และเอาประสบการณ์ไปแลกกับของที่ระลึกด้วยเหมือนกัน เราเก็บวัตถุเตือนใจ กล่องใส่ของที่ระลึก ถ้วยรางวัล และจดหมายเก่า ๆ ไว้ ราวกับว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เก็บสะสม รวบรวม และแช่แข็งไว้ใช้วันหลังได้ …วันหลัง? วันไหนอีกเหรอ? ชีวิตอยู่กับเราที่นี่ตอนนี้ มันไหลผ่านเราไปราวกับสายน้ำ และเช่นเดียวกับสายน้ำ เราไม่อาจหยุดชีวิตไว้กับที่โดยไม่เสียมนต์เสน่ห์ของมันไปได้ ยิ่งเราพยายามใช้เวลา “กักเก็บ” ชีวิตไว้มากเท่าไหร่ เรายิ่งมีชีวิตให้กระโจนเข้าไปใช้น้อยลงเท่านั้น</p>
<p>คนที่อาการหนักที่สุดในหมู่พวกเราคือพวกหัวก้าวหน้าสุดโต่งและพวกศิลปิน บ่อยครั้งเหลือเกินที่พวกเรา “นักปฏิวัติ” หมดพลังไปกับการคิดถึงและพูดถึงการปฏิวัติ “ที่จะมาถึง” มากกว่าจะมุ่งความสนใจไปที่การทำให้การปฏิวัติอยู่ในปัจจุบันกาล เราเคยชินกับการคิดในแง่ของผลิตผลเสียเหลือเกิน แม้แต่ตอนที่เราพยายามเปลี่ยนชีวิตให้เป็นอะไรที่ฉับพลันและน่าตื่นเต้น เราก็ยังติดหล่มของการทุ่มความพยายามไปที่เหตุการณ์สำคัญในอนาคต—เหตุการณ์ที่เราอาจอยู่ไม่ถึงวันได้เห็นมันด้วยซ้ำ และเช่นเดียวกับผู้คุมงานในโรงงาน เราเอาแต่กังวลอยู่กับผลิตภาพ (จำนวนของสหายคนใหม่ ๆ ที่ชักชวนมาได้ ความคืบหน้าในการบรรลุ “วัตถุประสงค์” ฯลฯ) มากกว่าจะเป็นห่วงว่าตอนนี้เราและเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ กำลังรู้สึกอย่างไร และมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร บรรดาศิลปินทั้งหลายมีแนวโน้มจะคิดไปในทางนั้นมากกว่าใครเพื่อน เพราะอาชีพของพวกเขาอิงอยู่กับการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาด้วยวัตถุดิบที่ได้จากประสบการณ์ในชีวิตจริง วิธีการที่พวกศิลปินใช้ปั้นแต่งประสบการณ์ความรู้สึกส่วนตัวให้ออกมาในรูปแบบที่เป็นตัวของพวกเขาเองผ่านการแสดงออกนั้น มีบางสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นความใคร่ครอบงำแบบทุนนิยมรวมอยู่ด้วย เพราะการแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึก [ในงานศิลปะ] นั้น มักมีการลดระดับความซับซ้อน (simplification) เป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ ไม่ว่าอารมณ์ความรู้สึกที่ว่าจะโดดเด่นหาที่เปรียบมิได้เพียงไหน หรือลึกซึ้งเกินหยั่งถึงเพียงใดก็ตาม การออกไปใช้ชีวิตและตระหนักถึงคุณค่าของมันในแบบที่มันเป็นนั้นไม่เพียงพอสำหรับศิลปิน เธอจึงกัดกินชีวิตตัวเองเพียงเพื่อให้ได้งาน เพียงเพื่อให้ได้ชุดของผลิตผลที่อยู่ภายนอกตัวเธอ และอาจถึงขั้นยอมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองเพื่ออาชีพที่ทำอยู่ ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เธออาจพบว่าตัวเองไม่สามารถพลอดรักบนดาดฟ้ายามรุ่งสางได้โดยไม่วางแผนไว้ก่อนว่าจะใช้เหตุการณ์นี้เป็นฉากสุดเลิศในนิยายของเธอ (กากปฏิกูล!)</p>
<p>แน่นอนว่าการขับถ่ายเป็นกระบวนการที่ขาดไม่ได้และดีต่อสุขภาพของจิตวิญญาณพอ ๆ กับที่มันดีต่อสุขภาพกาย เมื่อหัวใจปริ่มล้นจนแทบทะลัก ศิลปะเป็นช่องทางหนึ่งในชีวิตที่เราใช้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกกลับคืนสู่โลก แต่ถ้าเราพยายามทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนเกินความจำเป็น ท้ายที่สุดแล้ว ก็จะมีวันที่หัวใจและไส้ในของเราถูกเค้นออกมาด้วย (เหมือนนิทานเรื่องห่านกับไข่ทองคำไงล่ะ พอจะนึกออกอยู่ใช่ไหม?) เราต้องเอาชีวิตและประสบการณ์มาก่อนเป็นอันดับแรก เราต้องเผชิญโลกโดยมีเพียงความคิดนี้อยู่ในหัวเท่านั้น—ความคิดที่สดใหม่ไร้เดียงสาเหมือนตอนเรายังเป็นเด็ก ความคิดซึ่งปราศจากเจตจำนงที่จะกลืนกิน จัดระเบียบ แบ่งประเภท หรือลดระดับความซับซ้อนของ ประสบการณ์อันหลากหลายเหลือคณานับของเรา มิเช่นนั้นแล้ว ระหว่างการออกตามหาสิ่งที่กดให้แบนเรียบและเก็บสำรองไว้ “ได้ตลอด” เราก็จะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุด งดงามที่สุด และอยู่กับเราทุกชั่วขณะที่สุดไป ก่อนอื่นเลย เราควรใช้จินตนาการที่มีอยู่เพื่อปรับเปลี่ยนสภาพความเป็นจริงของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพแทนเชิงสัญลักษณ์ของมันแต่เพียงอย่างเดียว (ถามจริงเถอะ ไอ้ชีวิตที่พวกเราส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เนี่ยมันน่าตื่นเต้นพอจะเอาไปแต่งเป็นนิยายได้สักกี่เล่มกันเชียว?) แทนที่จะพยายามสร้างศิลปะจากชีวิต เรามาใช้ชีวิตให้เป็นศิลปะกันเถอะ</p>
<p>หากเราพบความสุขที่ตามหา เราจะพบว่ามันไม่ได้อยู่ในผลิตผลของชีวิตเรา แต่อยู่ในกระบวนการใช้ชีวิต ในการทำสิ่งที่อยากทำ และการได้ทำฝันให้เป็นจริง หากไม่ใช่ตอนนี้ จะหยุดพักกันตอนไหนเหรอ? จะมีความสุขกับปัจจุบันกันตอนไหนเหรอ? พวกเราน่ะหมกมุ่นกับการ “สร้างวีรกรรม” กันเสียเหลือเกิน ฉะนั้นจงหยุด “สร้างประวัติศาสตร์” แล้วมาเริ่มใช้ชีวิตกันเถอะ แบบนั้นแหละถึงจะเป็นการปฏิวัติที่แท้จริง ลองเลิกคิดถึง “ผลลัพธ์” แล้วมีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้กันดีกว่า เพื่อชีวิตของเราเอง!</p>
<blockquote>
<p>“บางครั้ง” จูเลียกล่าว “ฉันรู้สึกว่าอดีตและอนาคตกำลังบีบรัดตัวฉันจากทั้งสองฝั่ง มันบีบแน่นมากเลยล่ะ แน่นเสียจนไม่มีที่เหลือให้ปัจจุบันเลยสักนิดเดียว”</p>
<p>“แต่จะบอกอะไรให้นะเฮนรี ว่าทุก ๆ ชั่วขณะที่ขโมยจากปัจจุบันไปน่ะ คือชั่วขณะที่คุณจะไม่มีวันได้คืนมาอีกเลยตลอดกาล ชีวิตมีแค่ตอนนี้เท่านั้น”</p>
</blockquote>
<p><em>เจียเนตต์ วินเทอร์ซูน เขียน</em></p>